การสอนแบบโครงการ
เขียนโดย นฤมล เนียมหอม
การสอนแบบโครงการ (Project
Approach) เป็นการศึกษาอย่างลงลึกในหัวเรื่องใดหัวเรื่องหนึ่ง
โดยเด็กเป็นรายบุคคล เป็นกลุ่ม หรือทั้งชั้นเรียน
เป็นวิธีสอนที่เหมาะสำหรับเด็กทั้งในระยะปฐมวัยจนกระทั่งชั้นประถมศึกษา
การสอนแบบโครงการเป็นวิธีที่มีโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ก็มีความยืดหยุ่น
ครูที่ใช้การสอนแบบนี้ได้อย่างเหมาะสม เด็กจะมีแรงจูงใจ
และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น ทั้งนี้
โครงสร้างของการสอนแบบโครงการมีดังต่อไปนี้
1. การอภิปรายกลุ่ม
(Group Discussion) ในการจัดการเรียนการสอนแบบโครงการ
ครูสามารถแนะนำการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ช่วยให้เด็กได้แลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนทำกับเพื่อน
การที่เด็กได้สนทนาร่วมกันทั้งเป็นกลุ่มย่อยและทั้งชั้นเรียนเกี่ยวกับหัวข้อที่เด็กสนใจ
ทำให้เด็กมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
เด็กปฐมวัยจะเรียนรู้ได้ดีหากได้สนทนาร่วมกับเพื่อนและครูเป็นกลุ่มย่อย
ในบริบทที่เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือการสำรวจจริงๆ ครูสามารถแนะนำสิ่งต่างๆ
ที่ช่วยให้เด็กคิดและสร้างความรู้ได้ง่ายขึ้น
อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เด็กแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนในกลุ่มใหญ่ด้วย
2. การทำงานภาคสนาม
(Field Work) การทำงานภาคสนามในที่นี้ครูควรคิดถึงประสบการณ์ตรงที่เด็กจะได้รับจากการไปศึกษานอกสถานที่
ซึ่งจะแตกต่างจากการพาเด็กไปทัศนศึกษา
การทำงานภาคสนามของเด็กไม่จำเป็นต้องพาเด็กไปนอกสถานที่เสมอไป
อาจเป็นการสำรวจสิ่งปลูกสร้าง หรือสนามของโรงเรียน การสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ
ในโรงเรียน การวัด การทำแผนที่ ฯลฯ
หากต้องการให้เด็กมีประสบการณ์ภาคสนามนอกโรงเรียนอาจเลือกพาเด็กไปสำรวจบริเวณใกล้ๆ
โรงเรียน เช่น ร้านค้า ถนน ป้ายต่างๆ บ้าน สนาม อาคาร โบราณสถาน สถานีขนส่ง ฯลฯ
ทั้งนี้อาจจัดให้เด็กได้พูดคุยกับบุคคลซึ่งเป็นภูมิปัญญาในเรื่องนั้น
ได้สังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ใช้บริการสาธารณะ ฯลฯ
การทำงานภาคสนามจะช่วยให้เด็กสร้างความรู้ใหม่จากประสบการณ์ตรง
และเกิดการเชื่อมโยงกับสิ่งที่เด็กเรียนรู้ในห้องเรียน
สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เด็กเข้าใจโลกมากยิ่งขึ้น
และช่วยให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิในการตอบปัญหาต่างๆ
ด้วย
3.
การนำเสนอประสบการณ์ (Representation) การนำเสนอประสบการณ์ช่วยให้เด็กได้ทบทวนและจัดระบบประสบการณ์ของตน
สิ่งที่นำเสนออาจมาจากการอภิปรายแลกเปลี่ยนประสบการณ์เดิมเกี่ยวกับหัวข้อที่สนใจศึกษา
การกำหนดคำถามที่จะนำไปสู่การสืบค้น การแสดงสิ่งที่เด็กๆ ได้เรียนรู้ เด็กๆ
สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ตนเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การวาดภาพ การเขียน
การใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเล่นบทบาทสมมติ การสร้างแบบจำลองต่างๆ ฯลฯ
เด็กจะมีโอกาสทบทวนข้อมูลที่รวบรวมจากการทำงานภาคสนาม
เลือกวิธีการนำเสนอที่ทำให้เพื่อน ครู หรือพ่อแม่เข้าใจ
เป็นโอกาสที่เด็กจะได้เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริง
4. การสืบค้น (Investigation)
การสืบค้นในการจัดการเรียนการสอนแบบโครงการสามารถใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลายตามเรื่องที่เด็กสนใจ
เพื่อค้นหาคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้ เด็กๆ อาจใช้วิธีการสัมภาษณ์พ่อแม่
บุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่นๆ ในขณะที่ไปทำงานภาคสนาม
สัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ ที่ครูเชิญมาที่ห้องเรียน
สังเกตและสำรวจวัตถุสิ่งของ วาดภาพโครงร่าง ใช้แว่นขยายส่องดูใกล้ๆ
สัมผัสพื้นผิวต่างๆ และอาจเป็นการค้นหาคำตอบจากหนังสือในห้องเรียนหรือห้องสมุดก็ได้เช่นกัน
5. การจัดแสดง (Display)
ผลงานของเด็กทั้งที่เป็นงานรายบุคคล
หรืองานกลุ่มซึ่งสามารถนำมาจัดแสดงไว้ตลอดทุกระยะของการดำเนินการตามโครงการเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดหรือความรู้ให้เด็กทั้งชั้นเรียนได้เรียนรู้
การจัดแสดงช่วยให้เด็กและครูมีโอกาสบอกเล่าเรื่องราวของโครงการให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนรับรู้ด้วย
โครงสร้างดังกล่าวข้างต้นทั้งการอภิปรายกลุ่ม การทำงานภาคสนาม
การนำเสนอประสบการณ์ การสืบค้น และการจัดแสดงจะอยู่ในระยะต่างๆ ของโครงการซึ่งมี 3
ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ทบทวนความรู้เดิมและความสนใจของเด็ก
ระยะที่ 2 ให้เด็กมีประสบการณ์ใหม่ และมีโอกาสสืบค้นเพื่อหาคำตอบ
ระยะที่ 3 ประเมิน สะท้อนความคิด และแลกเปลี่ยนงานโครงการ
ทักษะในศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) ประกอบไปด้วย
ทักษะพื้นฐาน 3Rs ได้แก่
การอ่านออก (Reading) เขียนได้ (Writing) คิดเลขเป็น (Arithmetic)
ทักษะในการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรม 4Cs ได้แก่
การคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking Skill) เข้าใจความซับซ้อนอย่างเป็นระบบ หาทางแก้ไขได้
การสื่อสาร(Communication Skill) สามารถสร้างการสื่อสารและสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น
การร่วมมือ(Collaboration Skill) รู้จักเอื้อเฟื้อ
รู้นำ-รู้ตามเคารพคนอื่น
การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Creativity skill) ต้องอาศัยความคิดใหม่ๆ
หรือการคิดนอกกรอบ
ทักษะด้านสารสนเทศ (Information Skill) สามารถแยกแยะและเข้าถึงข้อมูล
ประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สื่อ (Media Skill) รู้เท่าทันสื่อ แยกแยะและใช้ประโยชน์
และสื่อสารของตนเองออกไปได้
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Technology Skill) สามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้อย่างชำนาญและเหมาะสม
ทักษะชีวิตและทักษะทำงาน มีความยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
รู้จักพลิกแพลง หาทางใหม่ไม่ยึดวิธีเดิมๆ ริเริ่มลงมือและการกำกับทิศทางตนเอง
เมื่อคิดแล้วต้องกล้าริเริ่ม ลงมือทำเลยแม้จะไม่เคยทำมาก่อน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและข้ามวัฒนธรรม
สามารถเปิดใจกว้าง ยอมรับและอดทนกับความแตกต่างได้
สร้างผลิตภาพและตรวจสอบได้ทำงานมีประสิทธิภาพโปร่งใส
มีภาวะผู้นำและความรับผิดชอบกล้านำกล้าตาม
Skills
ทักษะการฟัง
ทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล
ทักษะการต่อยอดความรู้
ทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ
Self assessment
แต่งกายถูกต้องตามระเบียบ
Evaluate friends
มาเรียนตรงเวลา
ให้ความร่วมมือในการตอบคำถาม
Teacher Evaluation
อาจารย์มาสอนตรงเวลา
แต่งกายเหมาะสม เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้แสดงความคิดเห็น
Classify
ห้องเรียนสะอาดกว้าง บรรยากาศเหมาะสมกับการเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น